วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
สวัสดีเดือนพฤษภาคม 2554
ความรู้พื้นฐานเรื่องการกำหนดขนาด หัวเรื่อง ขนาดตัวอักษร รูปแบบต่างๆ ของการทำรายงาน
ความรู้พื้นฐานเรื่องการกำหนดขนาดหัวเรื่อง ขนาดอักษร รูปแบบตัวอักษรต่าง ๆ
ความพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับงานพิมพ์จากคอมพิวเตอร์ที่ขาดไม่ได้อีกหนึ่งเรื่อง คือ ขนาดหัวเรื่อง ขนาดอักษร รูปแบบตัวอักษรต่าง ๆ โดยเฉพาะงานพิมพ์วิชาการ ต้องมีรูปแบบที่เป็นสากลนิยมเท่านั้น
หัวเรื่อง
หัวเรื่อง อย่างเช่น บท แต่ละบท คือหัวประจำบท นิยมกำหนดขนาด เท่ากับ 18 หรือ 20 ตามหน่วยงานกำหนด แต่โดยส่วนใหญ่นิยมกำหนดขนาดตัวอักษรที่ 18 ตัวหนา
ส่วนประกอบของหัวเรื่องประจำบทต่าง ๆ
เช่น บทนำ ประกอบไปด้วยหัวเรื่อง คือ
ความเป็นและความสำคัญของปัญหา
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
สมมติฐานการศึกษา
ขอบเขตของการศึกษา
ข้อตกลงเบื้องต้น
นิยามศัพท์เฉพาะ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษา
หัวเรื่องที่กล่าวมา ส่วนใหญ่นิยมกำหนดขนาดตัวอักษรที่ 16 ตัวหนา
รูปแบบตัวอักษร
สำหรับรูปแบบตัวอักษรในการพิมพ์ กำหนดให้ใช้ตัวอักษรเป็น Angsana เป็นรูปแบบอักษรที่ใช้กับภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษและสูตรต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบรายงานควรดูจากระเบียบการพิมพ์ที่หน่วยงานนั้น ๆ กำหนดขึ้น เนื่องจากในบางหน่วยงานอาจมีการกำหนดที่แตกต่างกันในบางส่วนจึงควรศึกษาจากคู่มือให้มาก เพื่อประโยชน์ในการจัดทำรายงานที่สมบูรณ์ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
เขียน วันที่ 14/05/2554
ผู้เขียน พยัคฆ์กูรู
newnaew.net
รู้จักกับองค์ประกอบเพิ่มเติมของการทำรายงานต่างๆ
รู้จักกับองค์ประกอบเพิ่มเติม ของการทำรายงานต่างๆ
ส่วนเพิ่มเติม คือ ส่วนของภาคผนวกเอกสารประกอบรายงาน 5 บท ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการนำเอกสารเพิ่มเติมเข้ามาประกอบเพื่อให้รายงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น เนื่องจากในการเขียนส่วนของ 5 บท อาจมีบางส่วนที่ผู้จัดทำต้องการอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้สนใจรายงานมีความเข้าใจในรายงานมากขึ้น เป็นการอธิบายเสริม หรือต้องการนำเสนอข้อมูลแสริมให้รายงานมีคุณภาพสมบูรณ์ เช่น การแสดงผลวิเคราะห์ข้อมูล เนื่องจากในรายงาน 5 บท ในบทที่ 4 เป็นการสรุปผลผู้จัดทำจึงต้องการขยายความให้ผู้สนใจศึกษาต่อส่วนดังกล่าว เป็นต้น
ฉะนั้นผู้เขียนข้ออธิบายในส่วนเสริมของรายงาน พอสังเขป ดังนี้
เช่น
ภาคผนวก แบ่งเป็นภาคผนวกย่อย เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาของผู้สนใจ เช่น
ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ
ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ
ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพเครื่องมือ
ภาคผนวก จ ..........
ภาคผนวก ฉ ...........
ซึ่งสามารถเพิ่มเติมตามความต้องการของผู้จัดทำ
และส่วนสุดท้าย คือ ประวัติของผู้จัดทำ
สำหรับส่วนประกอบเพิ่มเติมนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของการศึกษาในการรายงานผล เช่น หากเป็นรายงานศึกษาเอกเทศที่ใช้เครื่องมือเป็นแบบสำรวจ สำหรับนิสิตระดับปริญญาตรี ควรภาคผนวกเท่าที่จำเป็น เช่นเครื่องมือ คือ แบบสำรวจ ประวัติ หรืออื่นๆ ก็ตามแต่เห็นสมควร ไม่ควรใส่ในส่วนที่ไม่จำเป็น
ระดับปริญญาโท เช่น การผลิตสื่อเพื่อการเรียนรู้ ควรใส่ภาคผนวกในส่วนที่เสริมความเข้าใจให้ละเอียดพอสมควร และควรพิจารณาความเหมาะสมและความถูกต้อง
เขียน วันที่ 14/05/2554
ผู้เขียน พยัคฆ์กูรู
newnaew.net
รู้จักกับองค์ประกอบส่วนอ้างอิงของการทำรายงานต่างๆ
รู้จักกับองค์ประกอบส่วนอ้างอิง ของการทำรายงานต่างๆ
การเขียนอ้างอิงเป็นส่วนสำคัญในการทำรายงานให้มีความถูกต้องตามหลักการที่กำหนดไว้
ส่วนอ้างอิง ได้แก่
การเขียนอ้างอิงในเนื้อหา
การเขียนเชิงอรรถ
การเขียนอ้างอิง
การเขียนบรรณานุกรม
การเขียนอ้างอิงในเนื้อหา เป็นการให้เกียรติเจ้าของบทความเดิมและเป็นการเคารพในทรัพย์สินทางปัญญา โดยนำมายกไว้ในรายงานที่จัดทำขึ้น
ยกตัวอย่างที่ 1การเขียนอ้างอิงเนื้อหาส่วนหัว เช่น
คำก้อน สอนดี (2552 : 14) ได้กล่าวถึง การสอนที่ดี ควรมี............
คำก้อน สอนดี คือ ชื่อผู้แต่ง
2552 คือ ปี พ.ศ. ที่พิมพ์
14 คือ หน้า ของบทความที่นำมาอ้างอิง
จากตัวอย่างที่ 2 การเขียนอ้างอิงเนื้อหาส่วนท้าย เช่น
การสอนที่ดีควรมี............................
.......................................(คำก้อน สอนดี, 2552 : 14)
การเขียนอ้างอิงในเนื้อหายังมีจุดเพิ่มเติมอีกนิด เช่น
ถ้าหากมีผู้แต่ง 2 คน จะใช้คำว่าและ
เช่น คำก้อน สอนดี และสงสัย สอนเก่ง (2552 : 14)
ถ้าหากมีผู้แต่งเกิน 2 ขึ้นไป นิยมใช้ผู้แต่งคนที่ 1 เป็นชื่อหลักตามด้วยคณะ
เช่น คำก้อน สอนดี และคณะ (2552 : 14)
การเขียนอ้างอิงในเนื้อหาสามารถหาอ่านเพิ่มเติมตามรูปแบบที่กำหนดของแต่ละสถาบัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่เหมือนกัน
การเขียนอ้างอิงทุกครั้งควรใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตลอดทั้งเล่ม
การเขียนเชิงอรรถ
เป็นการเขียนอ้างอิงส่วนล่างสุดของกระดาษ ซึ่งไม่นิยมค่อยได้รับความนิยม และถูกลดบทบาทลงไป เนื่องจากกินเนื้อที่ของกระดาษมาก จึงอาจทำให้การเขียนเชิงอรรถในอนาคตอาจหมดความสำคัญ
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากคู่มือการเขียนรายงานต่าง ๆ หรือในหนังสือวิชาการต่างๆ ปีพ.ศ. เก่า ๆ
เหตุผลที่ผู้เขียนไม่นำมาเขียนเป็นตัวอย่างเนื่องจากต้องการให้ผู้สนใจสามารถนำความรู้ที่จำเป็นต้องใช้ไปประกอบการศึกษา ซึ่งการเขียนใช้อรรถในรายงานปัจจุบันไม่นิยมใช้ เพื่อป้องกันการสับสนจึงไม่ขอ อธิบายรายละเอียด หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถส่ง e – mail ได้ที่เว็บมาสเตอร์ newnaew@hotmail.co.th
การเขียนอ้างอิง
การเขียนอ้างอิง เป็นการนำรายชื่อของบุคคลหรือตำราเอกสารที่ถูกอ้างถึงในรายงาน 5 บท มาเรียบเรียงไว้ในส่วนท้ายเพื่อให้ผู้สนใจสามารถสืบค้นเพิ่มเติมจากรายการหนังสือ หรือเอกสารนั้นได้ ส่วนอ้างอิงกับบรรณานุกรม ต่างกันที่ การเขียนอ้างอิงใช้เฉพาะรายชื่อเอกสารหรือบุคคลที่กล่าวถึงในรายงาน 5 บทเท่านั้น ส่วนบรรณานุกรม สามารถเขียนรายชื่อเอกสารที่ไม่ถูกกล่าวถึงในรายงาน ซึ่งเราได้ศึกษาประกอบนำมาไว้ในบรรณานุกรมได้ แต่ไม่ควรใส่รายการมากเกินความเป็นจริง
การเขียนบรรณานุกรม
การเขียนบรรณานุกรม เป็นการนำรายชื่อหนังสือ หรือเอกสารที่นำมาอ้างอิง และนำมาประกอบการศึกษา เขียนเป็นรายการไว้ในส่วนของบรรณานุกรม เพื่อให้ผู้สนใจสามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้ โดยเน้นรายการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษาในรายงาน 5 บท
ซึ่งการเขียนอ้างอิงหรือบรรณานุกรม ควรศึกษาระเบียบการพิมพ์ของแต่ละแห่งเนื่องจากมีความแตกต่างกันในบางส่วน จึงควรศึกษาเพิ่มเติมจากหลาย ๆ แหล่ง
เขียน วันที่ 14/05/2554
ผู้เขียน พยัคฆ์กูรู
อ้างอิงข้อมูลจาก
newnaew.net
รู้จักกับองค์ประกอบด้านเนื้อหาของการทำรายงานต่างๆ
รู้จักกับองค์ประกอบเนื้อหา ของการทำรายงานต่างๆ
ส่วนเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญมากของการทำรายงาน เนื่องจากทุก ๆ บทมีความสำคัญที่แตกต่างกันเพื่อให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ของผลงาน การศึกษารายละเอียดในเรื่องขององค์ประกอบเนื้อหารายงานจึงไม่ควรผิดพลาดและไม่ควรขาดหายในส่วนใดส่วนหนึ่ง
ซึ่งองค์ประกอบส่วนเนื้อหา ประกอบไปด้วย
บทที่ 1/บทนำ มีรายละเอียดตามหัวเรื่องดังนี้
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
สมมติฐานของการศึกษา
ขอบเขตของการศึกษา
ข้อตกลงเบื้องต้น
นิยามศัพท์เฉพาะ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
กรอบแนวคิด
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษา
รูปแบบของการศึกษา
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
การสร้างและการหาประสิทธิภาพเครื่องมือ
การทดลองใช้เครื่องมือ
ขั้นตอนการดำเนินการศึกษา
การจัดกระทำข้อมูล
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
บทที่ 4 ผลการศึกษา
รายละเอียดของผลการวิเคราะห์
บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
สรุปผลการศึกษา
อภิปรายผลการศึกษา
ข้อเสนอแนะ
*หมายเหตุ
สำหรับ องค์ประกอบส่วนเนื้อหาอาจมีการเรียงลำดับหรือมีส่วนประกอบบางส่วนที่ไม่ เหมือนกันในแต่ละสถาบัน จึงควรศึกษาจากคู่มือการทำรายงานของแต่ละสถาบันให้ละเอียด
หรือจะใช้ตามผู้เขียนควรพิจารณาตามความเหมาะสมนะครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก
newnaew.net
รู้จักกับองค์ประกอบส่วนหน้า ของการทำรายงานต่างๆ
ความรู้พื้นฐานเรื่ององค์ประกอบของรายงาน
ความรู้พื้นฐานเรื่องการวรรคตอนต่างๆ
ความรู้พื้นฐานเรื่องการวรรคตอนต่าง ๆ
การวรรคตอนต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ควรศึกษาให้ละเอียดเพื่อความถูกต้อง และสวยงามเป็นไปตามหลักวิชาการ
การวรรคตอน ส่วนใหญ่ของการทำรายงานต่างๆ ใช้มาตรฐานเดียวกัน แต่ในปัจจุบันมีความสะดวกมากขึ้น และเป็นที่ยอมรับในการพิมพ์เอกสารคือใช้รูปแบบที่กำหนดเดิม กับรูปแบบที่กำหนดด้วยโปรแกรมอัตโนมัติสากลนิยม
การเว้นวรรคตอน
การเว้นวรรคตอนเป็นการสร้างความสวยงามของการพิมพ์เอกสารให้อ่านง่าย โดยการพิมพ์และการเขียนในสมัยก่อนไม่นิยมวรรคตอน เขียนยาวไปจนจบเนื้อหาทำให้อ่านยาก ผู้อ่านเหนื่อยต่อการอ่านเนื้อหา การกำหนดวรรคตอนจึงเกิดขึ้น เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาที่แตกต่างจากภาษาอื่นๆ อย่างเช่น ภาษาอังกฤษใช้การ . เพื่อแบ่งประโยค ภาษาไทยจึงมีการกำหนดวรรคตอนให้เป็นสากลนิยมมากขึ้นทำให้อ่านง่าย ผู้อ่านได้มีช่วงพักในการอ่าน ด้วยเหตุดังกล่าวการวรรคตอนจึงมีความสำคัญไม่น้อย
การเว้นช่องไฟ คือการเว้นวรรค นิยมกำหนดให้ เว้นวรรค 2 เคาะ หรือ 1 เคาะตามเห็นสมควร
แต่โดยส่วนใหญ่นิยม 2 เคาะมากกว่า เนื่องจากไม่ทำให้อักษรติดกันจนเกินไป การเว้น 1 เคาะยังทำให้อักษรดูชิดกันอยู่
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนการเคาะเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ
1 เคาะ แทนด้วย /
2 เคาะ แทนด้วย //
ตัวอย่าง เช่น
การอ่านเป็นกระบวนการฝึกฝนทางความคิดให้เกิดความคิดแปลกใหม่//เพื่อเป็นการฝึกฝนการอ่านที่ดีเราควรอ่านอย่างน้อยวันละ/1//ครั้ง
ฉันนั้นการจัดช่องไฟ ควรดูตามความเหมาะสม เนื่องจากหากต้องการจัดอักษรแบบกระจาย การใช้การเคาะจะไม่ได้ผล ควรพิจารณาตามความสวยงามจะดีที่สุด
การขึ้นย่อหน้าใหม่
การย่อหน้าและการขึ้นย่อหน้าใหม่มีความละเอียดถี่ถ้วนอย่างมาก เพื่อให้รายงานเป็นสากลนิยม การขึ้นย่อหน้าจึงมีด้วยกัน 2 รูปแบบที่ใช้กันมากที่สุด คือ
การขึ้นย่อหน้าด้วยการเว้น 8 ช่วงตัวอักษร พิมพ์ตัวที่ 9 เป็นมาตรฐานเดิมที่รายงานส่วนใหญ่ในบ้านเราใช้กัน
การขึ้นย่อหน้าด้วยรูปแบบอัตโนมัติจากโปรแกรมพิมพ์เอกสาร เป็นมาตรฐานที่สากลนิยมใช้กัน เนื่องจากเป็นวัฒนธรรมโดยอัตโนมัติ เพราะส่วนใหญ่คุ้นเคยการการพิมพ์งานและการย่อหน้าที่โปรแกรมกำหนดขึ้น
ด้วยการกด Tab ตรงแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์
ส่วนอื่นๆ ที่ควรศึกษาเพิ่มเติม คือ
การกำหนดหัวข้อย่อยและการย่อหน้าตัวข้อย่อย เช่น
1. กกกกกกกกกก
1.1 กกกกกกกกกก
1.2 กกกกกกกกกก
หรือ
กกกกกกกกกกกกก
กกกกกกกกกกกกก
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากระเบียบการพิมพ์ของหน่วยงานต่างๆ หรือพิจารณาตามความเหมาะสม
เขียน วันที่ 14/05/2554
ผู้เขียน พยัคฆ์กูรู
อ้างอิงข้อมูลจาก
newnaew.net